ซาล ฟินดักเนียร์ คือชื่อของอารยธรรมภูเขาเก่าแก่อันพังพินาศอยู่บนภูเขาดราก้อนสไปน์ ตัวภูเขานี้เองเคยถูกเรียกว่าดอยฟินดักเนียร์ก่อนที่ศพมังกรดุรินจะตกลงมาใส่ในกาลถัดมา
ประวัติศาสตร์[]
ในเวลานับพันปีในอดีต ชนเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งเคยพยายามหาที่หลบภัยไกลจากดินแดนอันมีแต่น้ำแข็งและความทุกข์ยาก (มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นมอนด์ชตัดท์ในอดีต) และได้พบกับภูเขาอันเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ชนเผ่านี้สร้างอนุสรณ์บนยอดดอยและจัดตั้งอาณาจักรของตนเองภายใต้ชื่อว่าซาล ฟินดักเนียร์ และก่อตั้งเมืองหลวงพร้อมพระราชวังอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอาณาจักรนี้รุ่งเรืองมายาวนานเท่าใด
จุดจบของ ซาล ฟินดักเนียร์[]
อาณาจักรฟินดักเนียร์มีต้นไม้สีขาวสูงใหญ่อันมีความสำคัญมากตั้งอยู่ และสมเด็จพระนางปุโรหิตแห่งฟินดักเนียร์ได้ทรงประสูติพระราชธิดาพระองค์หนึ่งภายใต้ร่มเงาของรุกขชาติขาวต้นนั้น องค์พระราชธิดาได้รับการถวายพระพรโดยสมเด็จพระนางปุโรหิต ทำให้พระองค์มีฌานรู้แจ้งเห็นอนาคต องค์พระราชธิดาทรงโปรดงานจิตรกรรม และต่อมาได้ยกระดับภาพไปเป็นจิตรกรรมฝาผนังเขียนถึงเหตุการณ์ที่ในอนาคตพระนางทรงรับรู้ ในวันหนึ่งองค์พระราชธิดาทรงสุบินเห็นมังกรสีดำนำพาเมฆพิษสีเลือดลงมาปกคลุมดินแดน และทรงเชื่อว่าเป็นลางแห่งความวินาศ
ในช่วงเวลาใกล้เคียงหรือหลังจากเหตุการณ์นั้น อาวุธทำลายล้างสูงที่เรียกว่าหมุดสกายฟรอสท์ได้ตกจากฟากฟ้าอย่างไม่ทราบสาเหตุลงมาทิ่มแทงยอดเขาฟินดักเนียร์ และบันดาลเมฆหมอกไปจนถึงพายุหิมะให้ปกคลุมอาณาจักร วีรบุรุษนายหนึ่งจากแดนไกล นามว่าอิมุนเลาคาร์ กำลังพำนักอยู่ในอาณาจักรพอดิบพอดี และมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับองค์พระราชธิดา องค์พระราชธิดาได้ทรงประทานดาบใหญ่ตีจากแร่สตาร์ซิลเวอร์ให้วีรบุรุษออกไปตามหาทางกอบกู้อาณาจักร ในขณะที่วีรบุรุษหันหลังจากไปองค์พระราชธิดาทรงมีพระราชดำรัสว่าพระองค์จะทรงวาดพระจิตรกรรมแผ่นที่สี่ให้กับเขาผู้นี้และจะทรงรอจนกว่าจะกลับมา แต่อนิจจาพายุหิมะได้กลบพระราชกระแสจนสิ้นและอิมุนเลาคาร์หาได้ยินสิ่งใดไม่
หลังจากช่วงเวลานั้นองค์พระราชธิดากำลังทรงวาดพระจิตรกรรมแผ่นที่สองอยู่ในขณะที่สมเด็จพระมหาปุโรหิตผู้เป็นพระราชบิดาได้ทรงทอดพระเนตรว่าใบของรุกขชาติขาวกำลังเหี่ยวร่วงโรยลง และได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่ยอดดอยเพื่อหาทางชี้แนะ ทรงคาดการณ์ว่าผลงานย่อมเสร็จสิ้นเมื่อทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับลงมา และถ้าหากรูปสื่อถึงน้ำแข็งที่กำลังละลายกลับเป็นดังเดิมแล้วทุกสิ่งย่อมเป็นไปด้วยดี หากทว่าองค์พระราชธิดาไม่ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพื้นหญ้าและฟ้าครามมาเป็นเวลานานหลายปีและไม่อาจวาดรูปที่พระราชบิดาต้องการได้ และภาพจิตรกรรมชิ้นนั้นก็ไม่เป็นที่เสร็จดีเนื่องด้วยเหตุการณ์ต่อไปเข้าแทรก
ในเวลานี้หมุดสกายฟรอสท์ได้แตกตัวออกไปเป็นสามส่วน เหตุการณ์ที่ถูกสลักเอาไว้บนแผ่นหินกลางทางขึ้นเขา ในเวลาต่อมาทั้งสามชิ้นส่วนนี้ได้แตกออกไปเป็นชิ้นเล็กๆอีก ปล่อยก้อนพลังออกมาสามก้อนซึ่งทำให้จุดที่มันตกใส่กลายเป็นจุดเยือกแข็งสมบูรณ์ ก้อนหนึ่งฝังอยู่ใน Starglow Cavern อีกก้อนในห้องใต้ดินใกล้กับชานเมือง และอีกก้อนตกไปโดนต้นไม้ขาวอันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดต่ออาณาจักรจนแตกกระจาย องค์พระราชธิดาทรงทอดพระเนตรเห็นและได้ยกกิ่งที่เป็นชิ้นเป็นอันที่สุดเพื่อทรงนำไปตอนกิ่งกับต้นไม้อีกต้นในเกาะเล็กๆใกล้กับภูเขา หากทว่าต้นไม้ได้ตายลงท่ามกลางพายุหิมะหนาวเย็นและองค์พระราชธิดาทรงเสด็จสวรรคตใต้ต้นนั้น
ราษฎรคนอื่นของอาณาจักรได้แสดงความพยายามรักษาต้นไม้ขาวเช่นกันอย่างไร้ผล เหล่าราษฎรได้ฝังพระศพพระราชธิดาและเดินทางเข้าไปใน Starglow Cavern และได้วาดจิตรกรรมฝาผนังอีกแผ่นทิ้งเอาไว้ภายใน
ในระยะเวลาหนึ่งหลังจากที่อาณาจักรถูกทำลาย อิมุนเลาคาร์เดินทางกลับมาหลังจากที่ไม่ได้คำตอบอะไรแม้แต่อย่างเดียวและเห็นว่ามนุษย์ทุกคนในอาณาจักรได้เสียชีวิตกันจนหมด เหตุการณ์นี้ทำให้วีรบุรุษรู้ถึงธาตุแท้ของเซเลสเตีย และประชดสาบานว่าจะฆ่าเวลาให้เทพดูเพลินๆด้วยการ "ละเลงเพลงแห่งเลือดและโลหะ" ให้สาแก่ใจก่อนจะละทิ้งซาล ฟินดักเนียร์ เพื่อไปกรำศึกในดินแดนกลียุคและสงครามสักแห่งหนหนึ่ง
มรดกทางประวัติศาสตร์[]
หลังจากที่ทอดทิ้งซาล ฟินดักเนียร์ อิมุนเลาคาร์เดินทางตรงไปยังมอนด์ชตัดท์ที่ ๆ เทพเจ้าหมาป่าอังเดรียสและเทพเจ้ามรสุมเดคาราเบียนกำลังห้ำหั่นกันอยู่ในสมัยนั้น ไม่เป็นที่ทราบว่าอิมุนเลาคาร์สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ในช่วงเวลานี้ หากแต่มีตำนานว่าอิมุนเลาคาร์ตาย "ในแดนเหนือ" และทิ้งลูกหลานเอาไว้ให้รบราฆ่าฟันกันไม่หยุดเป็นที่บันเทิงหฤหรรษ์แด่เหล่าเทพ ตระกูลอิมุนเลาคาร์จะกลายมาเป็นสายตระกูลใหญ่ในมอนด์สตาดต์ซึ่งบูชาสักการะทั้งเทพเจ้าวายุบาร์เบโทสและเทพเจ้าแห่งกาลเวลา
ในช่วงเวลาของยุคมหาหายนะเมื่อห้าร้อยปีก่อน สุบินนิมิตรขององค์พระราชธิดาได้กลายเป็นความจริง มังกรสีดำคลุ้มคลั่งนามว่าดุรินได้บุกลงมาโจมตีดินแดนและถูกสังหารโดยมังกรดวาลิน โดยมีความหนาวยะเยือกของฟินดักเนียร์คอยแช่แข็งเลือดต้องสาปของดุริน และรุกขชาติขาวแผ่ขจายรากไม้เพื่่อดูดซับเลือดเอาไว้
หลังจากที่นักเดินทางได้ทำลายก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มต้นไม้ขาวและนำเอาพลังของมังกรดุรินมาถวายอย่างต่อเนื่อง ต้นไม้สีขาวสลับกับสีเลือดจะเริ่มเติบโตขึ้นมาแทน ท้ายที่สุดแล้วต้นไม้ออกผลไม้หนึ่งผล เป็นตัวแทนความทรงจำของทุกดวงวิญญาณที่ทิ้งชีวิตไว้บนดอย ยกไว้ให้ในมือผู้กล้าที่จะนำพาความยุติธรรมมาสู่โลก