เสมียนคนปัจจุบันของสถาบัน Sumeru มีสติปัญญา และพรสวรรค์ที่เหนือคนธรรมดา เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระจนคนส่วนใหญ่แทบจะหาเขาไม่เจอ
—คำอธิบายจากเว็บไซต์ทางการ[1]
อุปนิสัย[]
เสมียนคนปัจจุบันของสถาบัน Sumeru มีสติปัญญา และพรสวรรค์ที่เหนือคนธรรมดา เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระจนคนส่วนใหญ่แทบจะหาเขาไม่เจอ
—คำอธิบายตัวละครภายในเกมและข้อความจากหน้าโพรไฟล์
(รอการเพิ่มเติม)
ลักษณะรูปร่าง[]
(รอการเพิ่มเติม)
บทแนะนำทางการ[]
แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดมาก ซึ่งฉันไม่เคยปฏิเสธเรื่องนั้น น่าเสียดายที่ชายที่มีพรสวรรค์แบบนี้กลับสนใจแต่ความจริง จนหมางเมินคนมากมายรอบข้างไป อาจเป็นเพราะความเป็นปัจเจกนิยมแบบสุดโต่ง เลยทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา เช่น เขาไม่ค่อยจะเคารพรุ่นพี่สักเท่าไหร่... ฉันไม่ได้หมายถึงตัวเองสักหน่อย
เสมียนคนปัจจุบันของสถาบัน Sumeru มีชื่อทางวิชาการที่ฟังดูสุดยอดมาก แต่นั่นเป็นชื่อทางการที่ใช้เพื่อรักษาอัตตาในสถาบันเท่านั้น
ตำแหน่งเสมียนที่ดูเหมือนจะมีภูมิหลังมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประชุมใหญ่ทุกการประชุม และไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญอะไร ตำแหน่งเสมียนมีหน้าที่เพียงแค่จัดประเภท และจัดเก็บเอกสารสำคัญโดยไม่จำเป็นต้องออกหน้า ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้เสมียนที่มีหน้าที่คอยจัดการดูแลหนังสือกระดาษ และเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรใน Sumeru เป็นตำแหน่งที่รู้เรื่องต่าง ๆ ในสถาบันเยอะที่สุด สามารถพูดได้ว่าตำแหน่งนี้ค่อนข้างคล้ายกับตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลตำรา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเลยว่าในฐานะผู้ดูแลห้องสมุดอย่างหัวหน้าผู้ดูแลตำราคือผู้ที่มีโอกาสในการเข้าถึงหนังสือที่บันทึกสุดยอดภูมิปัญญามากที่สุด
เสมียนคนปัจจุบันของสถาบัน Alhaitham มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ข้างต้นอย่างสมบูรณ์ - มีคนไม่มากที่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขารู้ข้อมูลมากมายที่คนอื่นไม่รู้ เขาไม่เข้าร่วมการประชุมที่ไม่จำเป็นใด ๆ และเมื่อเขาเข้าร่วม เขาก็จะบันทึกเฉพาะประเด็นสำคัญ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาว่าอยากจะจดบันทึกลงไปหรือไม่ ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ให้ความสนใจกับเขา ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสมียนคนนี้สามารถเก็บรายละเอียดในการประชุมสามัญได้มากน้อยแค่ไหน
ว่ากันว่าคนที่เก็บงำความสามารถของตัวเองให้ต่ำมานานเกินไป จะถูกมองว่าเป็นคนที่มีตัวตน และจุดประสงค์บางอย่างซ่อนเร้นอยู่เสมอ ซึ่งตัว Alhaitham หักล้างแบบแผนเหล่านี้ทั้งหมด: เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นเพียงพนักงานธรรมดาของสถาบันที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคง และครอบครองอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำใน Sumeru นั้นทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย
เรื่องราวของตัวละคร[]
ข้อมูลตัวละคร
ว่ากันว่าคนเก่งกาจที่เก็บงำความสามารถของตัวเองนานเกินไป จะถูกมองว่าเป็นคนที่มีตัวตน และจุดประสงค์บางอย่างซ่อนเร้นอยู่เสมอ ซึ่งตัว Alhaitham เองนั้น กลับหักล้างมุมมองไร้สาระเหล่านี้ทั้งหมด: เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นเพียงพนักงานธรรมดาของสถาบัน ที่มีหน้าที่การงานมั่นคง และครอบครองอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำใน Sumeru ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย
ในบางครั้ง ผู้คนก็ไม่เจอตัวเสมียนคนปัจจุบันของสถาบันในห้องทำงาน อย่างมากที่สุดพวกเขาก็รู้แค่ว่า เสมียนคนนี้มีชื่อว่า "Alhaitham" ในเวลางานที่ควรจะอยู่ที่โต๊ะ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเสมียนคนนี้หายตัวไปอยู่ไหน จึงทำได้แค่วางสิ่งของ และเอกสารไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
Alhaitham พอใจกับสิ่งนี้มาก บางทีเขาอาจจะอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็อาจจะอยู่ในห้องสมุดก็ได้ เพียงแค่เขาไม่ได้อยู่ในที่ที่ใคร ๆ คาดหวังให้เขาอยู่ก็เท่านั้น
ต้องทำให้คนอื่นคาดเดาไม่ได้ว่า คนคนหนึ่งจะทำอะไรที่ไหนในเวลาใด เขาถึงจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำอย่างอิสระ
เรื่องราวของตัวละคร 1
ความประทับใจ Lv. 2
ในความประทับใจของนักเรียนส่วนใหญ่ในสถาบัน "เสมียน" ฟังดูเหมือนเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ การที่ตำแหน่งนี้มีชื่ออันทรงเกียรตินั้นเป็นเพียงการให้ชื่อตำแหน่งอย่างลอย ๆ เพื่อรักษาหน้าเท่านั้น
ซึ่งความจริง เสมียนไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประชุมใหญ่ทุกการประชุม และไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญอะไร ตำแหน่งเสมียนมีหน้าที่เพียงแค่จัดประเภท และจัดเก็บเอกสารสำคัญเท่านั้น แต่กระนั้น ใน Sumeru ซึ่งหนังสือเป็นเล่มและเอกสารกระดาษถูกควบคุมจัดการอย่างเข้มงวดนั้น เสมียนกลับกลายเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่รู้เรื่องต่าง ๆ ในสถาบันเยอะที่สุด สามารถพูดได้ว่าตำแหน่งนี้ค่อนข้างคล้ายกับตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลตำรา... ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเลยว่า ในฐานะผู้ดูแลห้องสมุดอย่างหัวหน้าผู้ดูแลตำรา คือผู้ที่มีโอกาสในการเข้าถึงหนังสือที่บันทึกสุดยอดภูมิปัญญาได้มากที่สุด
ในฐานะเสมียนคนปัจจุบันของสถาบัน Alhaitham มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างยิ่งกับตำแหน่งของเขา: เขาไม่เข้าร่วมการประชุมที่ไม่จำเป็นใด ๆ และถึงจะได้รับแจ้งให้เข้าร่วม เขาก็จะบันทึกเฉพาะประเด็นสำคัญ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาว่าอยากจะจดบันทึกลงไปหรือไม่ หากการประชุมไม่ข้องเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนบุคคลใด ๆ หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดเขาได้ เขาก็คร้านจะออกความเห็น โดยปกติเมื่อมีคนเสนอมุมมองโง่เง่า เขาก็จะเลือกประเมินด้วยคำพูดที่เฉียบคมจนเกินจะทนรับได้
นี่คือหลักการของ Alhaitham ในการจัดการสิ่งต่าง ๆ: ถ้าต้องการให้ฉันตัดสิน นั่นหมายถึงการยอมรับให้ฉันใช้ทุกวิถีทาง และให้สิทธิ์อันเด็ดขาดกับฉันในการตัดสิน ถ้ายกคำพูดของเขามาพูด: โชคดีที่ฉันเป็นคนที่เกียจคร้านเกินกว่าจะมีความทะเยอทะยานที่สูงลิบ
นักวิชาการล้วนใฝ่หาความรู้ และแสวงหาความจริง บ้างก็เพื่อชื่อเสียงผลประโยชน์ บ้างก็เพื่ออุดมคติ บ้างก็เพื่อพิชิตมัน ทิ้งมันไว้ข้างหลัง และเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่เหนือกว่าที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ซึ่ง Alhaitham นั้นไม่จัดอยู่ในประเภทใด ๆ ข้างต้นเลย เขาทำงาน และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตามความสนใจของเขา ในสายตาของเขาแล้ว นักวิชาการหลายคนกำลังหลงทางในการแสวงหา เข้าใจผิดว่าความจริงเป็นเครื่องมือ หรือแม้แต่ทางลัดไปสู่การตระหนักรู้ในตนเอง
แต่ไม่ว่ามนุษย์จะแสวงหาหรือไม่ ความจริงก็มักจะแขวนอยู่ที่นั่นเหมือนดาวที่ส่องแสงสว่างไสว มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดการเดินทางหรือเส้นชัยการแข่งขัน และความจริงจะไม่มีวันสั่นคลอน ไม่ว่าจะมีมนุษย์หรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้หลังจากได้รับความรู้บางอย่างแล้ว การเดินทางของผู้คนก็ยังไม่จบลงง่าย ๆ แม้ว่าผู้คนจะคิดว่าพวกเขามีความสุขกับการกอบโกย และพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อมันแล้วก็ตาม ทว่าความกระหายในความรู้จะยังคงผูกมัดพวกเขาอยู่เสมอ
สำหรับผู้ที่มองไม่เห็นความจริง หนทางก็ไม่มีที่สิ้นสุด แต่คนที่ตื่นรู้จะพูดว่า: ความจริงไม่ได้เกิดมาเพื่อรับใช้ใคร สักวันผู้ที่ควบคุมความกระหายรู้ไม่ได้ จะถูกทำลายลงด้วยความรู้เสียเอง นี่คือกฎของประเทศแห่งการเรียนรู้ แน่นอนว่าถ้าคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของประเทศแห่งการเรียนรู้นี้ ก็ต้องเสแสร้งทำแบบนี้ให้เป็น
เรื่องราวของตัวละคร 2
ความประทับใจ Lv. 3 •
ชุมนุมลวงตา
ชาว Sumeru เรียกกลุ่มคนที่ช่วยชีวิตของท่านหญิงน้อย Kusanali ว่าฮีโร่ ในบรรดาคนที่สรรเสริญพวกเขานั้น ไม่มีใครรู้รายละเอียดโดยรวมของเหตุการณ์นี้เลยสักคน พวกเขาได้ยินมาเพียงแค่จุดเล็ก ๆ เท่านั้น แต่กลับมองมันเป็นดั่งเรื่องราวที่งดงาม ในฐานะคนที่เข้าร่วมอย่าง Alhaitham นั้น เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับการได้รับการยกยอว่าเป็นฮีโร่มากนัก เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรหยิบยกมาพูดด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ทางสถาบันยังได้พยายามเชิญ Alhaitham ให้ขึ้นเป็นมหาปราชญ์อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ล้วนถูกปฏิเสธทุกครั้งไป แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายแบบนี้ Alhaitham จึงได้ยอมตกลงทำหน้าที่เป็นรักษาการมหาปราชญ์เป็นการชั่วคราว
การปฏิเสธเข้ารับตำแหน่งมหาปราชญ์เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว แต่ที่ยากเสียยิ่งกว่ายากคือการที่ผู้คนจะยอมเชื่อว่า การที่คนคนหนึ่งได้ทำหน้าที่รักษาการมหาปราชญ์แล้ว กลับไม่ยอมใช้ประโยชน์จากจุดนั้นในการเข้ารับตำแหน่ง แต่กลับลาออกตามกำหนดแล้วกลับไปเป็นเสมียนที่ดูไม่มีความสำคัญอะไรเลย
ถ้าจะพูดว่าเขาได้รับผลประโยชน์อะไรบ้าง อย่างแรกคือด้านการเงิน แม้ว่า Alhaitham จะกลับมารับตำแหน่งเสมียนแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับเบี้ยเลี้ยงของนักปราชญ์ที่ได้รับ นอกจากนี้เขายังมีโครงการวิจัยระดับสูงมากมายที่ลงมือทำเอง ดังนั้นคุณภาพชีวิตจึงไม่มีปัญหาอะไร อย่างที่สองคือ ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หลังจากการช่วยเหลือในครั้งนั้น Alhaitham และผู้ที่เข้าร่วมในแผนนั้นก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรบกัน เมื่อพวกเขาเจอกันข้างนอกก็จะพยักหน้าให้กันแทนคำทักทาย
นอกจากนี้เมื่ออยู่สถาบัน ท่านหญิงน้อย Kusanali ก็มักจะเชิญ Alhaitham มายังวิหารแห่ง Surasthana เป็นครั้งคราวเพื่อหารือเรื่องต่าง ๆ ในที่แห่งนั้นเขาได้พบกับผู้คนไม่น้อยทั้งเจ้าหน้าที่มหามาตรา Cyno, ทหารรับจ้าง Dehya, Nilou ดาวเด่นแห่งโรงละคร Zubayr... ครั้งหนึ่ง Nilou ถึงขั้นถามเขาว่า: "คุณ Alhaitham คิดแผนที่สุดยอดแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน? คุณรู้มั้ย พอฉันมานึกย้อนดูแล้ว ดีแค่ไหนที่ทั้งคุณ และฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ..."
พอพูดถึงตรงนี้ Nilou ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ Alhaitham เข้าใจความสงสัยของเธอ ในทางกลับกัน ไม่ว่าใครก็ต้องประหลาดใจที่เขาสามารถรอดพ้นกับดักผลึกความรู้แห่งทวยเทพมาได้ แต่ในมุมมองของ Alhaitham เขาไม่เคยตกอยู่ในอันตรายเพราะเขาไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้นเลย
หากต้องการถามว่า Alhaitham ทำได้อย่างไร ก็ต้องขอบคุณตำแหน่งเสมียนที่อำนวยความสะดวกให้เขา ในฐานะนักวิชาการที่โชคดีได้อ่านคำแนะนำที่เกี่ยวข้องของระบบ Akasha เขาได้ศึกษาส่วนประกอบที่ติดตั้งบนศีรษะของ Akasha และผลึกความรู้ และรับรู้วิธีเปลี่ยนสถานะการแสดงผลของ Akasha แถมยังคิดวิธีแก้ไขการแสดงผลภาพที่มากับ Akasha Terminal โดยทำให้มันสามารถโผล่มาทางด้านหลังศีรษะ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า การวางแผนเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง และการค้นคว้าเบื้องต้นเป็นพื้นฐานของการวางแผน Alhaitham ย่อมไม่คิดจะเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาสบายดีไร้รอยขีดข่วน เขาแค่ถาม Nilou กลับว่า: "เท่าที่ฉันรู้ Cyno และ Dehya ก็สงสัยเหมือนกับที่คุณถาม แต่คุณกลับเป็นคนเดียวที่มาถามเรื่องนี้ พวกเขากระดากเกินที่จะถามฉันรึไง?"
เรื่องราวของตัวละคร 3
ความประทับใจ Lv. 4
Alhaitham ไม่เคยคุยเรื่องบุคลิกภาพหรืออุปนิสัยกับผู้อื่นโดยง่าย เขาเชื่อว่ามุมมองทั่วไปนั้นผิดถนัด ถ้าคนคนหนึ่งยืนยันว่าบุคลิกภาพของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถและความคิด คนคนนั้นคงไม่สามารถตัดสินเรื่องราวใดที่เกี่ยวกับผู้อื่นได้เลยสักนิด คนฉลาดมักมีท่าทีต่อคนโง่และคนฉลาดอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไป ส่วนคนโง่ก็จะมีความคิดที่แตกต่างไปเมื่อตนเองประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว สิ่งที่คนอื่นประเมิน Alhaitham ก็ยืนยันทฤษฎีนี้เช่นกัน... ด้วยพรสวรรค์และบุคลิกที่สมบูรณ์แบบของเขา ผู้คนมักไม่อยากเข้าใกล้เขามากเกินไป และมองเขาเป็นเพียงคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเท่านั้น
นี่คือตำแหน่งที่ Alhaitham ต้องการอย่างแท้จริง ในหมู่นักวิชาการไม่เคยขาดพวกหนอนหนังสือหัวรั้นยืนหยัดในความคิดของตน และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่แบบนั้น ในความเป็นจริง บางครั้งคำพูดเฉียบแหลมก็เป็นการแสดงความคิดส่วนหนึ่งของ Alhaitham ออกมา สังคม (หรือส่วนรวม) มักจะผูกมัดปัจเจกบุคคลด้วยกฎ และคำพูดเป็นหนึ่งในแขนงของมัน การพลิกแพลงคำพูดเป็นการตอบโต้กฎที่ไร้เหตุผล ซึ่งผู้คนมักใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาได้
คำว่า "อัจฉริยะ" ถูกใช้มานานแล้วในสถาบัน รวมถึงคำว่าผู้หลักแหลมและผู้มีไหวพริบด้วย... ชีวิตใน Sumeru พรสวรรค์คือการทดลองอย่างหนึ่ง ความสามารถที่เหนือกว่าไม่ควรถือเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งมันอาจสามารถทำให้ผู้คนแตกแยกกันได้ คนธรรมดามักจะโพล่งคำพูดที่สวยงามออกมาเสมอ เมื่อพวกเขามองเห็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมที่เหนือจินตนาการของตัวเอง: อัจฉริยะ, ยอดมนุษย์, ความไม่ธรรมดา... ขอแค่ลองคิดดูให้ดี ๆ ก็จะเข้าใจความหมายลึกซึ้ง ที่แม้แต่ผู้พูดก็ไม่ทันสังเกต นั่นคืออัจฉริยะเป็นกลุ่มที่แตกต่างจากคนทั่วไป
หากบุคคลสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ผู้นั้นต้องเป็นคนมีความสามารถและตัวตนที่พิเศษแน่นอน การยกย่องและจินตนาการมากเกินไปเกี่ยวกับบุคคลที่โดดเด่นนั้นเป็นเพียงการแบ่งแยก คนมีพรสวรรค์นี่แตกต่างจากฉันดีนะ นี่เป็นข้อแก้ตัวทั่วไปของคนหยาบคาย กฎที่งมงายเหล่านี้ไม่มีความหมายสำหรับ Alhaitham แม้ว่าเขาจะรู้วิธีปฏิบัติตัวในโลกนี้ แต่เขาก็ไม่อยากจะสิ้นเปลืองพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
"กฎ" คือขอบเขตและข้อจำกัด จำนวนผู้ถูกจำกัดด้วยกฎไม่ควรเป็นเกณฑ์เดียวในการตัดสินคุณค่าของกฎ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสร้างกฎของตัวเองขึ้น มันเป็นพลังที่เขาใช้เพื่อมองทุกสิ่งและต่อสู้กับโลก และเป็นการแสดงออกถึงความคิดทั้งหมดของเขา เพื่อรักษากฎของตัวเอง Alhaitham จะทำตามความต้องการของเขา และจะจัดการกับสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นอันตราย
เฉพาะผู้มีภววิสัยเท่านั้นที่จะมองเห็นความจริง รับรู้ว่าคนเราแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ทั้งยังเห็นช่องว่างในความสามารถและในจิตใจ เมื่อคำตอบอยู่ตรงหน้า: การแบ่งแยกของผู้อื่นเป็นเพียงการปรุงแต่ง การมอบสิทธิ์ในการประเมินตนเองให้ผู้อื่น ถือเป็นการปฏิเสธตนเองอย่างหนึ่ง ความแตกต่างไม่ควรเป็นการตราหน้าจากผู้อื่น เหล่าอัจฉริยะควรเข้าใจว่าความพิเศษก็เป็นความมั่งคั่งชนิดหนึ่งเช่นกัน
หรืออาจพูดได้ว่า เมื่ออัจฉริยะเข้าใจจากก้นบึ้งของหัวใจว่าเขาแตกต่าง และเป็นอัจฉริยะจริง ๆ เขาจะตระหนักถึงคุณค่าของพรสวรรค์อย่างแท้จริง ส่วนพวกขี้ขลาด และพวกถูกกระแสความคิดหลักกลืนกิน พวกเขาคือคนที่ยังไม่ค้นพบตัวเองอย่างหมดจด
เรื่องราวของตัวละคร 4
ความประทับใจ Lv. 5
หากต้องการมีชีวิตที่สงบสุขและสะดวกสบาย ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหลายประการ: บุคลิกภาพและตรรกะที่สอดคล้องกันในตัวเอง, ความสามารถในการต่อสู้ที่เหมาะสม, งานสบาย ๆ และบ้านน่าอยู่ที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน
จากเงื่อนไขข้างต้น Alhaitham สำเร็จพวกมันไปนานแล้ว เขาไม่เคยปฏิเสธว่า ตัวเองเหมาะที่จะอยู่ในประเทศแห่งนักวิชาการ ที่ความสามารถทางวิชาการเชื่อมโยงกับทรัพยากรทางสังคม
ที่อยู่อาศัยปัจจุบันของ Alhaitham ตั้งอยู่ใกล้กับสถาบัน เป็นหนึ่งในทรัพยากรทางวิชาการที่ได้มาจากการทำหัวข้อวิจัยชั้นยอด เมื่อพูดถึงบ้านหลังนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงโครงการที่เขาเข้าร่วมเมื่อครั้นยังเป็นนักเรียน หากนักเรียนในชั้นเรียนเดียวกันยังจำ Alhaitham ได้ พวกเขาน่าจะรู้กันว่า Alhaitham ไม่ใช่คนชอบทำงานเป็นกลุ่ม มีเพียงครั้งเดียวที่เขาร่วมมือกับผู้อื่นในการทำวิจัย ที่แม้ว่าโครงการจะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ก็จบลงด้วยการทะเลาะเบาะแว้งครั้งใหญ่และแยกทางกัน ผู้คนอาจไม่รู้ว่า Alhaitham เป็นหนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องนี้ แต่พวกเขาอาจรู้จักผู้วิจัยที่ร่วมมือกับเขาแทน: สถาปนิกภาควิชาเทคโนโลยี Kaveh
เหตุการณ์ทางวิชาการนี้ไม่ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เพราะอย่างไรแล้วในสถานที่อย่างสถาบัน การที่อัจฉริยะสองคนที่มีนิสัยและแนวคิดแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ไม่สามารถร่วมมือกันต่อไปได้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร แม้ว่าความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันจะพังยับ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่ฉลาดอย่างหาตัวจับยากเช่นกัน ส่วนโครงการความร่วมมือที่ระงับไปในปีนั้น ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นทรัพย์สินภายใต้ชื่อของผู้ยื่นเรื่องขอวิจัยตามกฎที่เกี่ยวข้อง
หลังจากที่แตกหักกัน ทั้งคู่ก็ไม่ได้ทุ่มเทศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีก แต่ถึงอย่างนั้น การวิจัยในช่วงแรกก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม นับเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงความสามารถทางวิชาการของ Alhaitham ส่งผลให้ตอนสถาบันประเมินการจัดสรรทรัพยากรอสังหาริมทรัพย์ ได้นำโครงการที่ถูกลืมยกเลิกมาเป็นข้อมูลอ้างอิง และจัดสรรที่อยู่อาศัยในย่านที่ไม่เลวให้เขากับโครงการนี้ ส่วนสมาชิกอีกคนหนึ่งของโครงการ Kaveh แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้มาคุยเรื่องกรรมสิทธิ์ของทรัพยากรนี้กับเขา หลายวันจากนั้นถึงรู้ว่า Kaveh ได้ฝากให้พนักงานที่จัดการดูแลบอก Alhaitham ว่า: ตัวเขาเองมีที่อยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่อสังหาฯ นี้หรอก
หลังจากขาดการติดต่อไปนาน พอได้พบกันอีกครั้ง Kaveh ก็ล้มละลายไปแล้ว การประเมินของ Alhaitham เกี่ยวกับเพื่อนตั้งแต่อดีตคนนี้คือ อีกฝ่ายมีแนวคิดและบุคลิกภาพที่ไม่สมกับความสามารถของตัวเองเลย แถมพวกเขายังมีความเห็นแตกต่างกันในหลาย ๆ เรื่องที่จนตอนนี้ก็ยังตกลงกันไม่ได้
การให้ Kaveh อาศัยอยู่ในบ้านเป็นการชั่วคราว กลายเป็นประเด็นถกเถียงที่น่าสนใจทีเดียว: การรู้ว่าบุคคลหนึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินส่วนหนึ่ง และได้สละทรัพย์สินนั้นโดยสมัครใจ จากมุมมองทางกฎหมายและสังคม บุคคลนั้นควรจ่ายค่าเช่าที่นี่ แต่จากมุมมองด้านวิชาการ การจ่ายค่าเช่าไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็เป็นการปฏิเสธความพยายามทั้งหมดของเขาในการวิจัย มันไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของนักวิชาการเลยสักนิด
การขบคิดถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนใจมาก แต่ Alhaitham ไม่สนใจคำตอบ เขารับอดีตผู้ร่วมงานโครงการที่ล้มละลายเข้ามาอยู่ด้วย เก็บค่าเช่าเป็นเรื่องเป็นราว และทิ้งงานบ้านประจำวันให้อีกฝ่ายทำ แน่นอนว่าเขารู้ว่า Kaveh จะต้องบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน แต่นั่นก็ไม่เป็นไร ในความคิดของ Alhaitham การติดต่อกับนักวิชาการที่ไม่มีครอบครัวเหมือนกัน ได้รู้จักกับคนที่ตรงข้ามกับตัวเอง ก็เหมือนกับการส่องกระจกอีกด้าน วิสัยทัศน์ของมนุษย์ไม่เคยสมบูรณ์แบบ แต่หากมองผ่านอัจฉริยะอีกคนก็อาจจะสมบูรณ์แบบได้ เมื่อใช้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้น เขาจะสามารถมองเห็นแง่มุมอื่น ๆ ของโลก และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไม่เข้าใจได้มากขึ้น
เรื่องราวของตัวละคร 5
ความประทับใจ Lv. 6
Sumeru ประเทศแห่งนักวิชาการ นับถือวิชาการและความรู้เหนือสิ่งอื่นใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง นักวิชาการที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันใน Sumeru มักมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่าปกติทั่วไป Alhaitham เกิดมาในครอบครัวของนักวิชาการ พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยอุบัติเหตุ และเขาได้รับการเลี้ยงดูจากคุณย่าที่มาจากภาควิชาเทคโนโลยี
Alhaitham ไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่เท่าไหร่ พอเติบโตมา ได้ยินเรื่องราวของพวกเขาจากที่คุณย่าเล่าถึงได้รู้ว่า พ่อแม่ของเขาทำงานอยู่ที่สถาบันทั้งคู่ พ่อของเขาเป็นอาจารย์ของภาควิชาสัญศาสตร์ ส่วนแม่ของเขาเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของภาควิชาสมุฏฐานวิทยา
Alhaitham ได้สืบทอดมันสมองมาจากพ่อแม่ของเขา เขาฉลาดมากตั้งแต่ยังเด็ก พอเมื่ออายุ 7-8 ขวบ เขาเริ่มอ่านหนังสือวิชาการซับซ้อนที่เพื่อนในวัยเดียวกันไม่อยากจะแตะต้อง คุณย่าได้ตระหนักว่า เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาก จึงแนะนำฝากเขาให้เข้าเรียนที่สถาบันตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ผ่านไปเพียงครึ่งวัน Alhaitham ก็กลับมาพร้อมบอกว่า: คนในสถาบันที่เขาพบเจอในช่วงครึ่งวันมานี้ล้วนมีแต่คนน่าเบื่อทั้งนั้น แทนที่จะฟังคนพวกนั้นบรรยายไร้สาระ เขาชอบอ่านหนังสือคนเดียวมากกว่า คุณย่าเห็นถึงพรสวรรค์และอุปนิสัยที่คล้ายพ่อแม่เด็กชาย ดังนั้นจึงอนุญาตให้เขาศึกษาด้วยตนเองที่บ้าน
การศึกษาด้วยตัวเองของ Alhaitham ก็คือ: การอ่าน การวิเคราะห์แยกส่วน การประกอบขึ้นมาใหม่ และการสงสัย ในฐานะที่เกิดมาในครอบครัวนักวิชาการ เขาโชคดีพอที่จะเข้าถึงหนังสือรูปเล่ม และที่น่าสนใจคือ เขาชอบอ่านหนังสือรูปเล่มของคุณย่ามากกว่ารับข้อมูลจาก Akasha
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบ Akasha แล้ว หนังสือรูปเล่มนั้นเชื่องช้า ทั้งยังเก่าแก่ล้าสมัย แล้วไม่รับประกันด้วยว่าเนื้อหาข้างในจะถูกต้อง การใช้รูปแบบความรู้เช่นนี้เทียบเท่ากับการต่อสู้กับข้อมูลที่อาจเป็นเท็จ ซึ่งชาว Sumeru ส่วนใหญ่เกลียดอะไรแบบนี้ แต่ Alhaitham กลับรู้สึกสนุกไปกับมัน เขาได้รับความสามารถในการเรียนรู้ วิเคราะห์ และแม้กระทั่งแก้ไข จากนั้นจึงเรียนรู้ที่จะสงสัย หากหนังสือแบบดั้งเดิมคือความยุ่งยาก ถ้างั้นมันจะเป็นความยุ่งยากที่ Alhaitham ชอบมากที่สุด
คุณย่าบอก Alhaitham ว่า: หลานชอบอ่านหนังสือเหมือนกับพ่อของหลานเลยนะ ย่าเองก็ไม่รู้ว่าคนแบบพวกหลานนี่ฉลาดเกินไปหรือว่ายังไง แต่ความพิเศษนี้ล้วนถือเป็นสมบัติล้ำค่า หลานต้องจำเอาไว้ให้ดีนะ
รับรู้ความรู้ ใฝ่หาความรู้ เชื่อในความรู้ และอย่าลืมสงสัยในความรู้นั้น อาจจะมีเฉพาะคนที่ทำแบบนี้ได้ ถึงจะไม่ถูกผลึกความรู้ล่อลวงได้โดยง่าย คงมีแค่คนที่ตรงตามเงื่อนไขนี้เท่านั้น ที่จะเลือกหยิบคู่มือ Akasha ที่เก็บไว้ในส่วนลึกของวังแห่งปัญญาติดมือมาอ่านได้
เหมือนอย่างที่คุณย่าบอก ข้อมูลไร้ประโยชน์ในหนังสือมีอยู่มากมาย แต่ถึงมันจะมีจำนวนมาก แต่คนฉลาดอย่าง Alhaitham นั้นรู้จักเลือก ไม่แน่ว่า ถ้ามีหนังสือสักเล่มที่เขาอ่านแล้วยังจำได้ มันอาจช่วยเหลือเขาได้ในสักวันหนึ่ง
หลังจากที่คุณย่าเสียชีวิต Alhaitham เป็นคนจัดการงานศพของคุณย่าเพียงลำพัง รับมรดกทรัพย์สินที่คุณย่าทิ้งไว้ และห้องสมุดเล็ก ๆ ที่บ้าน ก่อนที่คุณย่าจะจากไปนั้น ได้อวยพรให้เขาอย่างจริงใจ: หลานเป็นคนที่ฉลาดมากเหลือเกิน อัจฉริยะส่วนใหญ่เป็นตัวของตัวเอง และรักอิสระ การที่หลานเป็นคนที่ยอดเยี่ยมกว่าคนอื่น ๆ นั้นไม่ใช่ความผิด แต่หลานก็ต้องระมัดระวังตัวไว้ให้ดี ต้องมีสติให้มากกว่าคนทั่วไป ต้องเข้าใจว่าการแสวงหาเกียรติยศจอมปลอมทั้งหมดเป็นเพียงฝุ่นผงเท่านั้น จงใช้ปัญญาอันเฉียบแหลมเพื่อแยกแยะ และเลือกเส้นทางของหลานเองนะ
ใบสมัครเข้าเรียนในสถาบันของ Alhaitham ได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว และเขาผ่านการสอบเข้าภาควิชาสัญศาสตร์ด้วยคะแนนที่สูงมาก ทางสถาบันบอก Alhaitham ว่า ก่อนเสียคุณย่าของเขาได้ยื่นเรื่องสิทธิ์การขอเข้านั่งฟังคลาสเรียนของคณะอื่นให้เขา เพื่อที่เมื่อมีเวลาว่างจะได้ไปนั่งฟังบรรยายได้ Alhaitham ปฏิบัติตามคำสอนของคุณย่า ยังคงความเป็นตัวเอง สุขุม และมีสติเสมอ
หลายปีผ่านไป Alhaitham ได้ย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ เขานำหนังสือรูปเล่มทั้งหมดในห้องสมุดที่บ้านเดิมมาด้วย ตอนที่จัดหนังสืออยู่นั้น เขาเจอหนังสือสองสามเล่มที่เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว หนังสือและวารสารมนุษยศาสตร์ส่วนใหญ่ ที่มีข้อความแสดงความยินดีเขียนในหน้าปกรอง ต่างเป็นของสะสมของแม่เขา ส่วนพวกที่มีเอกสารเสียบไว้ และมีการเขียนจดหมายเหตุเอาไว้ที่ริมหน้า ต่างเป็นของพ่อเขา นอกจากนี้ยังมีหนังสือปกแข็งหนาปกสีเขียวมรกตอีกเล่ม ตรงปกรองมีลายมือของคุณย่า: ขอให้ Alhaitham เด็กน้อยของฉันมีชีวิตที่สงบสุข
กระเป๋าคาดเอว
ความประทับใจ Lv. 4
กระเป๋าคาดเอวผ้าเทอร์ควอยซ์สุดทนทาน
บางทีอาจเป็นเพราะกระเป๋าใบนี้ใกล้เคียงกับสีเสื้อผ้าของ Alhaitham มากเกินไป ผู้คนจึงมักไม่รู้ว่ามันไม่ใช่เข็มขัดผ้า
ในกระเป๋ามีของไม่เยอะ จะมีเพียงแค่ของต่อไปนี้: กุญแจ หนังสือที่อ่านอยู่ตอนนี้ และซาวเบ๊าพร้อมหูฟังเข้าชุด
ซาวเบ๊าเป็นสิ่งที่เขาสร้างเองตอนเริ่มทำงานเป็นเสมียน มันเชื่อมต่อกับหูฟังเข้าชุดผ่านสายหูฟังสีเดียวกัน บางครั้งมันก็ถูกใช้มาเล่นเพลง บางครั้งก็ถูกใช้เพื่อกั้นเสียงรบกวน
วิชั่น
ความประทับใจ Lv. 6
"คุณค่าของภาษาหาใช่จำกัดแค่ในตัวอักษร ภาษาที่เป็นหนึ่งเดียว จะทำให้ผู้คนควบคุมความคิดความอ่านได้ นอกจากภาษาจะเป็นบรรทัดฐาน ยังเป็นกฎ อาวุธ และความรุนแรงอีกด้วย ด้วยความแตกต่างของภาษาที่ไม่เหมือนใคร ในที่สุดพวกเราจะหาหนทางบรรลุความสมบูรณ์ทางความคิดได้ในที่สุด
แม้ว่าการควบคุมความคิด จะไม่มีความหมายสำหรับบางคน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ ความแตกต่างในความปรารถนาของแต่ละปัจเจก กำหนดให้เราใช้ภาษาและสื่อที่ต่างกัน หากแต่ในหลายครั้งผู้คนก็ถูกควบคุมโดยภาษาเสียเอง"
Alhaitham พลิกหน้ากระดาษที่มีคำเหล่านี้พิมพ์อยู่ เมื่ออ่านจนถึงช่วงท้ายที่พอพลิกอีกก็จะเป็นปกหลังแล้ว เขาก็สังเกตเห็นว่า ใต้หนังสือทับเครื่องประดับอะไรบางอย่างที่เปล่งแสงงดงามเอาไว้อยู่
เขาย่อมรู้ว่ามันคืออะไร... "วิชั่น" ที่พิสูจน์พลัง แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้มีความหมายเลิศเลออะไรแบบนั้น
ปาฏิหาริย์เป็นสิ่งประเสริฐเมื่อปรากฏแก่บรรดาผู้ศรัทธา แต่สำหรับเขา มันเป็นเพียงอุปกรณ์ตัวช่วยที่มีประโยชน์
ชั่ววินาทีที่ได้รับวิชั่น Alhaitham กำลังอยู่ในระหว่างทางออกไปทำโครงการ
เขาไม่คิดจะใช้เวลาในการสังเกตวิชั่นของเขามากนัก ยังไงซะมันก็เป็นของเขาอยู่ดี จะดูจะตรวจสอบตอนไหนก็เหมือนกัน
ก็เหมือนกับความรู้ที่เคยเรียนมา ของที่อยู่ในกำมือแล้วจะหนีไปไหนพ้นกันล่ะ
นามบัตร[]
กลุ่มดาว[]
เควสต์และกิจกรรม[]
การทดลองใช้ตัวละคร[]
การกล่าวถึงตัวละคร[]
เสียงพากย์ตัวละคร
ตัวละคร | เสียงพากย์ |
---|---|
|
ชื่อในภาษาอื่น[]
ฉายาตัวละคร: คำวิจารณ์ซ่อนคม[]
ภาษา | ชื่ออย่างเป็นทางการ | ความหมายที่แท้จริง |
---|---|---|
ไทย | คำวิจารณ์ซ่อนคม | — |
อังกฤษ | Admonishing Instruction | — |
จีน (ตัวย่อ) | 诲韬诤言 Huìtāo Zhēngyán | Instructive Strategy, Forthright Admonition |
จีน (ตัวเต็ม) | 誨韜諍言 Huìtāo Zhēngyán | |
ญี่ปุ่น | 権謀教戒 Kenbou Kyoukai | Strategical Admonition |
เกาหลี | 충고와 직언 Chunggowa Jigeon | Advice and Outspoken Comments |
สเปน | El Instructor Severo | The Severe Instructor |
ฝรั่งเศส | Instruction d'admonestation | Instruction of Admonition |
รัสเซีย | Голос разума | Voice of Reason |
เวียดนาม | Lời Khuyên Tận Tình | Hearty Advice |
เยอรมัน | Vertreter mahnender Worte | Representative of Admonitory Words |
อินโดนีเซีย | Admonishing Instruction | — |
โปรตุเกส | Reprimenda Instrutiva | Instructive Reprimand |
ตุรกี | Uyarı Talimatı | |
อิตาลี | Insegnamento austero | Austere Teaching |
อ้างอิง[]
หน้าอื่น ๆ[]
|