เรื่องราวของลูกค้าขี้เมา เป็นเซ็ตหนังสือที่พบได้ใน Mondstadt
ตอนที่ 1[]
ในดินแดนแห่งไวน์แดนดิไลออน เรื่องพูดคุยและเรื่องเล่าต่าง ๆ ล้วนแพร่สะพัดไปอย่างกว้างไกลด้วยน้ำเมา
ท่ามกลางความวุ่นวายของพวกขี้เมา ตำนานเรื่องเล่าที่เกินจริงมักจะแพร่ไปได้ไกลเสมอ ดั่งเช่นการพูดจาเรื่อยเปื่อยระหว่างเมามายหรือแม้แต่การเดินเป๋ไปมา ที่ถึงจะดูเงอะงะแต่ก็น่าสนใจ
มีตำนานเล่าถึงยุคสมัยหนึ่งที่ผ่านมาในอดีต ที่ Mondstadt มีชายขี้เมาผู้โด่งดังอยู่คนหนึ่ง เขาก็เหมือนกับเหล่านายพรานทั่วไปใน Springvale ที่ถึงแม้จะคอแข็ง แต่ก็เมาทุกครั้งที่ได้ดื่มระหว่างช่วงพักจากการล่า ถ้าไม่ใช้เงินที่อยู่ในถุงจนหมด ก็ไม่แม้แต่จะยอมห่างจากบาร์เลยแม้แต่ก้าวเดียว
คืนหนึ่ง หลังจากที่ชายขี้เมาดื่มเสร็จ ระหว่างที่เขากำลังเดินโซซัดโซเซกลับบ้าน เขาก็รู้สึกเวียนหัวตาลายและเดินหลงเข้าไปในป่าของหมาป่า
Wolvendom ในทุกวันนี้นั้นเป็นดินแดนของราชาหมาป่า คนภายนอกที่มีสติดีครบถ้วนจะถูกกลิ่นอายอันน่าเกรงขามของป่าทำให้กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ ตามที่นายพรานสูงอายุเล่า นั่นเป็นเพราะราชาหมาป่าแห่งแดนเหนือได้รวบรวมดวงวิญญาณของฝูงหมาป่าเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครหน้าไหนกล้าเข้าไปในดินแดนของเขา แต่ในสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วนั้น จ้าวแห่งฝูงหมาป่ายังไม่ได้ตามลมเหนือมายังป่าเพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยต่อเผ่าพันธุ์หมาป่า ป่าแห่งนั้นเคยเป็นสถานที่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของพวกหมาป่า เป็นเกมนองเลือดของพวกมันที่ถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางเงามืดของต้นไม้ที่พวกมนุษย์มิอาจหยั่งรู้ได้
ทั้งอย่างนี้ ขี้เมาผู่โด่งดังแห่ง Mondstadt บุกเข้าไปในป่าหมาป่า
ท่ามกลางป่าอันมืดมิด ชายขี้เมาเดินโซไปเซมาโดยไม่สนใจเถาวัลย์ที่ทำให้ขาสะดุดและกิ่งไม้ที่แสนจะน่ารำคาญ
ทันใดนั้นก็มีดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขา
มันคือหมาป่าผู่โดดเดี่ยว มันคอยเดินตามชายขี้เมามาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเสียงพึมพำอยู่ในใจ:
"อะไร นี่มันอะไรกัน!"
ช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีมนุษย์หน้าหนกล้าบุกเข้ามาในป่าหมาป่ามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอัศวินที่แต่งตัวเต็มยศ หรือหัวขโมยเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งที่กำลังหลบหนี แม้แต่เหล่าขุนนางผู้แสนป่าเถื่อน ก็ยังไม่กล้าเนรเทศทาสของพวกเขาเข้ามาในป่าแห่งนี้ เพราะกลัวว่าจะทำให้หมาป่าดุร้ายโกรธ และนำปัญหาที่ไม่จำเป็นมาสู่ดินแดนของพวกเขา
"แต่เจ้าหมอนี่กลับกล้าบุกเข้ามาเพียงลำพัง นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว!"
หมาป่าผู่โดดเดี่ยวมพำอยู่ในใจ พร้อมกันนั้นก็ต้องอดทนต่อกลิ่นสาบเหล้าของชายขี้เมา ในขณะที่พยายามสะกดรอยตามเขาไปแบบติด ๆ
ตอนที่ 2[]
อย่างที่ทุกคนทราบดี ประสาทรับกลิ่นของหมาป่านั้นเฉียบคมและไวกว่ามนุษย์เป็นสิบล้านเท่า
ระหว่างที่เดินสะกดรอยตามเหยื่อ กลิ่นสาบของเหล้านั้นก็ทำให้หมาป่าแทบจะสำลัก จนทำให้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
"เห้อออ..."
หมาป่าโดดเดี่ยวที่เกิดและโตในป่านั้น ไม่เคยได้สัมผัสกับอารยธรรมของมนุษย์ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะได้กลิ่นของไวน์ลอยมา จากอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ Cider Lake ก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของกลิ่นนี้อยู่ดี
"บางทีเจ้านี่อาจจะคล้ายกับพวกสกั้งค์ มันคงจะเห็นฉัน ก็เลยปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาเพื่อป้องกันตัวงั้นสินะ!"
หมาป่าคิดแบบนี้ขณะที่พยายามอดทนต่อกลิ่นสาบเหล้าที่สุดจะฉุน จากนั้นก็เร่งฝึเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อไปอยู่ในจุดที่ตรวจสอบชายขึ้เมาได้ง่ายขึ้น
หมาป่าเป็นสัตว์ที่ระมัดระวังตัว แต่มนุษย์ที่ดื่มจนเมาไม่ได้เป็นแบบนั้น
เหล้าทำให้มึนงงและเวียนหัว แต่บางครั้งก็ทำให้คนทั่วไปรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันแสนละเอียดอ่อน ของทิศทางลมได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชายขี้เมารู้ว่าหมาป่าผู่โดดเดี่ยวสะกดรอยตามเขามา
บางที่อาจเป็นเพราะหมาปาถูกกลิ่นสาบเหล้าของชายคนนั้นทำให้มึนงง ไม่สามารถบังคับน้ำหนักการวางเท้าซึ่งทำให้เกิดเสียงดังจนทำให้เหยื่อรู้สึกตัว
"แกเป็นครายยอ่าา ห้องน้ำอยู่หนายย...?"
ชายขี้เมาขยี้ตา เบิ่งตามองและถาม
"เจ้ามนุษย์ แกเป็นใครกันแน่? ทำไมกลิ่นตัวถึงได้เหม็นขนาดนี้!"
หมาป่าเชิดหน้าขึ้น แยกเขี้ยว และตอบกลับอย่างข่มขู่
เมื่อได้ยินเสียงขู่ในลำคอของหมาป่า ชายขี้เมาไม่ได้มีท่าทีที่กลัวแพ้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกสนใจ:
"เห้ เพื่อน... ถึงจะไม่รู้ว่าฉันไปทำอะไรให้แกโกรธก็เถอะ แต่วัฒนธรรมของพวกเราชาว Mondstadt น่ะ คือการดื่มเพื่อขจัดความน่าเบื่อ ในวันที่พระจันทร์สวยขนาดนี้ ยังไงให้ฉันเล่าเรื่องให้ฟังดีกว่ามั้ย"
พูดเสร็จ เขาก็สะอึกด้วยความเมา
แต่เดิมหมาป่าไม่ได้สนใจคำพูดของคนเมา มันแค่ต้องการที่จะขย้ำไปที่คอของเหยื่อเท่านั้น
แต่ด้วยกลิ่นสาบเหล้าที่ฉุนจนขึ้นจมูก ทำให้มันไม่อยากอาหาร ดังนั้นหมาป่าจึงได้ตกลง
"ฮื พอมาคิดดูแล้ว ฉันก็ไม่ได้หิวเท่าไหร่... ยังไงจะยอมฟังเรื่องไร้สาระของแกดูสักรอบก็ได้"
ชายขี้เมายืดแขนและเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจ จากนั้นก็เล่นดอกแดนดิไลออนที่อยู่แถวนั้น
แล้วเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราว
ตอนที่ 3[]
ตามตำนานเล่าว่ามีหมาป่าผู่โดดเดี่ยวตัวหนึ่งเร่อนอยู่ในดินแดนรกร้างอันห่างไกล
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นราชาของเหล่าหมาป่า นำพาเผ่าพันธุ์ของตนเพื่อออกหาบ้าน, หาอาหารและต่อสู้... ช่วงเวลานั้นได้สร้างรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนให้กับมัน
มันนำทางข้ามผ่านที่ราบ ลอดผ่านซากปรักหักพังของราชวังโบราณ และทะลุผ่านดินแดนของเหล่าอสูรและ Seelie
ดินแดนอันรกร้างนั้นเป็นสถานที่ที่โหดร้าย ในแต่ละวันที่ราชาหมาป่าอายุมากขึ้น ฝูงก็ค่อย ๆ แตกกระจายออกไป เมื่อเวลาผ่านไป ฝูงทั้งฝูงก็เหลือเพียงหมาป่าโดดเดี่ยวที่แก่ตัวและอ่อนแอ
ดินแดนรกร้างในตำนานนั้นเป็นดินแดนที่ไม่มีเทพเจ้า ที่นั่นมีเพียงร่องรอยของเหล่าภูตผี ที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพอสูรโบราณ และราชวังอันว่างเปล่าของเหล่า
Seelie ในอดีต ในตอนที่หมาป่าแก่ผู้โดดเดี่ยวเดินผ่านราชวังสีเทานั้น มีเสียงเพลงท่อนหนึ่งที่ลอยมาดึงดูดมัน
"เกิดมาข้ายังไม่เคยได้ยินเสียงนกหรือแมลงที่เสนาะหูเยี่ยงนี้มาก่อนเลย ถึงขั้นทำให้ลืมความเจ็บปวดของความหิวโหยได้เลยที่เดียว"
ดังนั้น หมาป่าจึงก้าวเข้าไปในห้องโถงสีเทา ก้าวผ่านวัชพืชที่แสนรก และผ่านโลงหินที่แตกหักซึ่งภาพของเจ้านายเก่ายังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องด้านใน หมาป่าผู้โดดเดี่ยวก็พบกับหญิงสาวซึ่งกำลังเล่นดนตรีอยู่
เนื้อหนังของเธอนั้นซีดขาวราวกับขี้เถ้าและมีดวงตาที่ตก นิ้วอันเรียวยาวกำลังบรรเลงท่วงทำนองที่โศกเศร้า ซึ่งถูกลืมไปนานด้วยพิณที่ดูบอบบาง
หมาป่านั่งอยู่ต่อหน้าหญิงสาวผู้ขาวซีด สืมรสชาติของความหิวและความเหงาไปชั่วขณะ และฟังเสียงดนตรีของหญิงสาวอย่างเงียบๆ :
"เสียงจักจั่นของค่ำคืนฤดูใบไม่ร่วงเมื่อในอดีต เป็นบทเพลงแห่งการเนรเทศ และเป็นเพลงที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ"
"สูญสิ้นทุกสิ่งทั้งจิตวิญญาณและร่างกายของบ้านเกิด คงเหลืออยู่เพียงบทเพลงและความทรงจำ"
"ผู้ขับขานบทเพลงคนสุดท้าย Seelie ตนแรก นั่งดีดพิณอยู่ในห้องโถงของเหล่านางฟ้า"
เหล่า Seelie ที่อยู่ในป่าต่างก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงเพลงของเธอ และพากันมาแสดงความเคารพต่อเธอ
"นั่นคือเพลงอะไร?"
หมาป่าถามด้วยความงุนงง มันฟังรู้เรื่องทุกประโยค ทุกถ้อยคำ หรือแม้แต่โทนเสียง แต่มันกลับไม่เคยได้ยินภาษาของเธอมาก่อนเลย ช่างแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง
"บทเพลงของ Seelie น่ะ"
หญิงสาวขาวซีดตอบกลับอย่างนุ่มนวล
"ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว นี่เป็นบทเพลงที่พวกเราเขียนขึ้นเพื่อมอบให้เหล่าคนเถื่อน แต่ทุกวันนี้เรากลับต้องมาร้องมันเพื่อไว้อาลัยแด่โชคชะตาของเราเอง"
จากนั้นหมาป่าก็ฮัมเพลงขึ้นมาตามทำนองของหญิงสาวอย่างงุ่มง่าม
เสียงของหมาป่านั้นช่างอ้างว้างและแตกสลาย เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
"ร้องอะไรของเธอ?"
หญิงสาวตัวซีดขาวถาม
"นี่คือบทเพลงของพวกเรา"
หมาป่าตอบกลับ
"ไม่น่าฟังเอาซะเลย"
หญิงสาววิจารณ์อย่างไม่สนใจ พลางลูบไล้สายพิณต่อไปเรื่อย ๆ
"แต่... เธอจะร้องเพลงร่วมกับฉันก็ได้นะ"
เรื่องก็เป็นแบบนี้ หมาป่าและหญิงสาวก็ร้องเพลงร่วมกันในโถงของวิหารร้าง ว่ากันว่าในทุกวันนี้ เมื่อเหล่านักผจญภัยเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้ ก็ยังคงได้ยินเสียงสะท้อน ของท่วงทำนองที่แปลกประหลาดและกลมกลืน
"เรื่องก็เป็นแบบนี้?"
หมาป่าเลียริมฝีปากอย่างผิดหวัง
"ให้ข้าเล่าให้ฟังสักเรื่องก็แล้วกัน"
จากนั้นหมาป่าก็กระแอมและเริ่มต้นเรื่องเล่าของตน...
ตอนที่ 4[]
ตำนานเล่าว่าไวน์ชนิดแรกของ Mondstadt นั้นถูกผลิตขึ้นในยุคสมัยที่สายลมเหนื่อยังคงพัดโหม
ในยุคที่ราชาน้ำแข็งเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกัน เหล่าผู้คนในสมัยโบราณบ่มผลไม้ป่าให้กลายเป็นไวน์ ท่ามกลางพายุหิมะ เพื่อลบล้างความเจ็บปวดของการถูกน้ำแข็งกัด และเพื่อที่จะเสริมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความหนาวเย็น ในยุคสมัยนั้น แผ่นดิน Mondstadtยังคงถูกปกคลมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง และยังคงไร้ซึ่งวี่แววของดอกแดนดิไลออน
ว่ากันว่าผู้คิดค้นไวน์คนแรกของ Mondstadt นั้นคือชายผู้แสนเกียจคร้านคนหนึ่ง
ภายในชนเผ่าที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง มีชายผู้แสนเกียจคร้านผู้หนึ่งรับหน้าที่ดูแลคลังอาหาร
เพราะถึงแม้จะเป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ซึ่งแทบจะไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน แต่ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ทนต่อความหนาวสุดขั้วและสามารถทำโพรงใต้ดินลอดเข้ามาขโมยเสบียง อาหารไปกินได้ ด้วยเหตุนี้ ทางเผ่าจึงต้องจัดคนเพื่อคันหารูหนูและปิดมัน หรือไม่ก็หาทางจับเจ้าพวกหนูขี้ขโมยทั้งหลายเพื่อนำมาทำเป็นอาหาร
ในยุคสมัยนั้น โพรงที่ทั้งมืดและขึ้นนั้นมักจะต้องถูกระวังเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นอาหารที่กักเก็บเอาไว้อาจจะเน่าเสียได้ แต่ก็มีบางครั้งที่สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่จะเล่นตลกกับผู้คนและทำให้ได้ปวดหัวบ้าง
อาศัยจังหวะที่ยามแสนขี้เกียจอู้งานอีกครั้ง จิตวิญญาณของสายลมแปลงกายอยู่ในรูปของจิ้งจอก แอบเข้าไปยังกองผลไม้ป่าของเมือง จากนั้นทำให้ยีสต์เติบโตเพื่อทำให้ผลไม้สุกและหมักมัน
แล้วยามขี้เกียจก็เกิดหิวและมุ่งไปที่กองผลไม้ป่าเพื่อเก็บกิน แต่แล้วก็ถูกรสชาติอันเข้มข้นของผลไม้หมักทำให้ติดใจ จากนั้นเขาจึงนำมาห่อในหนังสัตว์และคั้นน้ำออกมา สุดท้ายก็กลายเป็นไวน์
จากนั้นชายเกียจคร้านผู้คิดคันกรรมวิธีหมักไวน์ ก็กลายเป็นขี้เมาคนแรกแห่ง Mondstadt ซึ่งตำนานเล่าว่าเขาคือคนแรกที่หลงอยู่ในความฝันเพราะความเมามาย
ในความฝันอันเมามายช่วงแรกของเขา เขากลายร่างเป็นหมาป่าผู้โดดเดี่ยว ในยุคสมัยยาวนานในอนาคต หรือยาวนานในอดีต เขาต่อสู้กับฝูงหมาป่าคู่แค้นด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยว เขาสู้รบกับพวกมนุษย์ ท่ามกลางพายุหิมะที่โหดร้ายเพื่อแย่งชิงอาหาร และก็ได้พบกับ Seelie ตนแรก
เหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่วมกันและหมาป่าที่รวมตัวกันเป็นฝูง ทั้งสองต่างไม่สามารถทนต่อการมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ แล้วไวน์ใหม่ ๆ ที่ถูกหมักออกมานั้น ก็ทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้พบกันในฝัน
แต่ทัศนคติต่อความฝันของพวกเขานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พวกมนุษย์ที่เคยพบเจอแต่สายลมและหิมะนั้น โหยหาดินแดนรกร้างที่หมาป่าเดียวดายวิ่งอย่างอิสระ ส่วนหมาป่าก็หวาดกลัวในความละโมบของพวกมนุษย์ ซึ่งมันไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดพวกมนุษย์ถึงได้หลงใหลในสิ่งลวงตาที่แสนอันตราย และออกตามหาความหวังจากสิ่งเหล่านั้น
สิ่งที่ทำให้หมาป่ากลัวที่สุดก็คือ ในความฝันของพวกมนุษย์ มันไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไปว่าแท้จริงแล้วตัวของมันคือหมาป่าหรือมนุษย์ที่มีวิญญาณหมาป่ากันแน่
ดังนั้นหมาป่าจึงสาบานว่าจะหนีห่างจากพิษร้ายของพวมนุษย์ ออกห่างจากสิ่งล่อลวงของน้ำเมา
เพราะที่จริงแล้วหมาป่าก็ไม่ใช่ลูกหลานของสายลม และบ้านเกิดของพวกมันก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเหล้าไวน์ และบทเพลง ด้วยเหตุนี้ หมาป่าจึงออกห่างจากดินแดนของมนุษย์ แล้วมาอยู่ท่ามกลางผืนป่าและภูเขาที่ซึ่งกลิ่นของไวน์ลอยไปไม่ถึง
"นี่ก็คือที่มาของสิ่งที่พวกแกเรียกว่าเหล้าไวน์ และพวกเราหมาป่าเรียกว่าจุดเริ่มต้นของความตกต่ำ"
หมาป่าผู่โดดเดี่ยวพูดกับชายขี้เมาอย่างภาคภูมิใจ
พอหันกลับมา มันกลับพบว่าชายขี้มากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนุ่มที่ทำด้วยไม้สน กรนคร่อกฟื้ ๆ หลับปุ๋ยไปซะแล้ว
หมาป่าทำอะไรไม่ถูกและได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นก็ทิ้งเจ้าคนขี้เมาไว้ตรงนั้นและเดินออกไปแบบทางใครทางมัน
หมายเหตุ[]
ชื่อในภาษาอื่น[]
ภาษา | ชื่ออย่างเป็นทางการ | ความหมายที่แท้จริง |
---|---|---|
ไทย | เรื่องราวของลูกค้าขี้เมา Rueang-rao khong lukkha khimao | Tale of a Drunkard Customer |
อังกฤษ | A Drunkard's Tale | — |
จีน (ตัวย่อ) | 醉客轶事 Zuìkè Yìshì | Drunkard Anecdote |
จีน (ตัวเต็ม) | 醉客軼事 Zuìkè Yìshì | |
ญี่ปุ่น | 酔っぱらいの逸話 Yopparai no itsuwa | Drunkard's Anecdote |
เกาหลี | 취객 일화 Chwigaek Ilhwa | A Drunkard's Tale |
สเปน | Cuentos de un borracho | Tales of a Drunkard |
ฝรั่งเศส | Chroniques d'un ivrogne | Chronicles of a Drunkard |
รัสเซีย | История пьяницы Istoriya p'yanitsy | |
เวียดนาม | Chuyện Kẻ Say | |
เยอรมัน | Erzählungen eines Betrunkenen | Tales of a Drunkard |
อินโดนีเซีย | Kisah Pemabuk | Drunkard's Tale |
โปรตุเกส | Um Conto de Bêbados | A Tale of Drunkards |